คิดอกุศลทำให้เดือดร้อนใจ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความในสังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปังกธาสูตร ข้อ ๕๓๑  มีข้อความว่า

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเสด็จจากจาริกไปในโกศลชนบท  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่  เสด็จถึงนิคมแห่งชาวโกศลชื่อปังกธา ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุชื่อ กัสสปโคตร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ ปังกธานิคม ได้ยินว่า ณ ที่นั้น  พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขาบท

ครั้งนั้นแล  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขาบทอยู่  ภิกษุกัสสปโคตรได้เกิดความขัดใจ ไม่แช่มชื่นว่า  สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก

ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปังกธานิคมตามควรแก่พระอภิรมณ์แล้ว  เสด็จจาริกกลับไปทางพระนครราชคฤห์  เมื่อเสด็จจากไปโดยลำดับ  ได้เสด็จยังพระนครราชคฤห์  เมื่อเสด็จจาริกถึงพระนครราชคฤห์แล้ว  ประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์

ครั้งนั้นแล  ภิกษุกัสสปโคตร  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปได้ไม่นาน  ได้เกิดความรำคาญ เดือดร้อนว่าเราผู้เกิดความขัดใจ  ไม่แช่มชื่นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก ในเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง  ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง  ด้วยธรรมิกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขา  ชื่อว่าเป็นอันหมดลาภ  ไม่มีลาภ ไม่ได้ดีแล้วหนอ  ถ้ากระไร เราควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ  แล้วพึงแสดงโทษโดยความเป็นโทษในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด

ลำดับนั้นแล  ภิกษุกัสสปโคตรเก็บงำเสนาสนะ  ถือบาตรและจีวร หลีกไปทางพระนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ  แล้วกราบทูลขอโทษพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงรับโทษของท่าน โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมระวังต่อไปเถิด

นี่ก็เป็นความวิจิตรของจิตจริง ๆ  ที่แสดงให้เห็นว่า  การคิดนึกของแต่ละคนบังคับบัญชาไม่ได้เลย  ถ้าสะสมอกุศลที่จะคิดในทางอกุศล  ก็ย่อมคิดในเรื่องอกุศลต่าง ๆ  เพราะฉะนั้น  ในสมัยนี้ ผ่านจากสมัยของพระผู้มีพระภาคมาเป็นเวลาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี  อกุศลที่สะสมไว้้ก็เพิ่มขึ้น  ถ้ายังไม่ได้ขัดเกลาด้วยการฟังพระธรรม และน้อมประพฤติปฏิบัติตามทุกประการ  ก็ย่อมจะมีเหตุที่จะให้เกิดกุกกุจจะ (ความขัดเคืองใจ)  ได้บ่อย ๆ  เนือง ๆ  เพราะฉะนั้น  จึงควรที่จะได้พิจารณาว่า  กุกกุจจะของแต่ละท่านที่เกิดขึ้นนั้น  เกิดขึ้นเพราะอะไร  อีกประการหนึ่งก็คือ  โทสะและกุกกุจจะเกิดจากความไม่รู้  ความไม่เข้าใจ ซึ่งรวมถึงความไม่รู้ และความไม่เข้าใจบุคคลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย

ทุกคนมีเหตุผล แต่ถ้าไม่พิจารณาถึงเหตุผลของคนอื่น  เอาแต่ตัวเองเป็นเครื่องวัด ก็ย่อมจะเกิดความคิดว่า  ทำไมคนนั้นไม่ทำอย่างนี้  ทำไมคนนี้ไม่ทำอย่างนั้น   หรือว่าควรจะทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น ก้ทำให้เกิดกุกกุจจะได้  ถ้าเป็นผู้ที่พยายามเข้าใจคนอื่น  แล้วก็มีความเห็นใจและให้อภัยผู้อื่น  จะเป็นผู้ที่มีความอดทนที่จะไม่แสดงกาย วาจา ให้คนอื่นเดือดร้อน  ขณะใดที่แสดงกาย วาจา กระทบกระเทือนให้คนอื่นเดือดร้อน  ตนเองย่อมเดือดร้อนในภายหลัง

ที่มาของบทความ…..คัดลอกจากบ้านธัมมะ

                   ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                         ………………………………………..

 

มาตรฐาน

ใส่ความเห็น